วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา

เบญจขันธ์ หรือ ขันธ์ 5

       เบญจขันธ์ หมายถึง กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมห้าหมวดที่ประชุมกันเข้าเป็นชีวิต
ขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
1. รูปขันธ์ กองรูป ส่วนที่เป็นรูป ร่างกาย พฤติกรรม และคุณสมบัติต่าง ๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด
2. เวทนาขันธ์ กองเวทนา ส่วนที่เป็นการเสวยรสอารมณ์ ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ
เมื่อรับรู้เกิดความพอใจ มนุษย์เรียกว่า สุข เมื่อรับรู้เกิดความไม่พอใจ มนุษย์เรียกว่า ทุกข์ เมื่อรับรู้แล้วไม่ทุกข์ไม่สุข เรียกว่า อุเบกขา
3. สัญญาขันธ์ กองสัญญา ส่วนที่เป็นความกำหนดหมายให้จำอารมณ์นั้น ๆได้ ความกำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์ 6 เช่น เสียงดัง รูปสวย กลิ่นหอม รสหวาน ร้อน และดีใจ
4. สังขารขันธ์ กองสังขาร ส่วนที่เป็นความปรุงแต่ง สภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลาง ๆ คุณสมบัติต่าง ๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิต ให้เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
5. วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ ส่วนที่เป็นความรู้แจ้งอารมณ์ ความรู้อารมณ์ทางอายตนะทั้ง 6
อายตนะแปลว่า บ่อเกิดหรือสื่อสัมพันธ์ บ่อเกิดหรือสื่อสัมพันธ์ ของอายตนะทั้งสองแล้วเกิดอารมณ์ขึ้น อายตนะมีตาเป็นต้น เมื่อสัมผัสกับรูปแล้ว ก็ติดต่อสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องถึงประสาทเข้ามาหาใจ แล้วใจก็รับเอามาเป็นอารมณ์ ถ้าดีก็ชอบใจ สนุก เพลิดเพลิน ถ้าไม่ดีก็ไม่ชอบใจ คับแค้นเป็นทุกข์โทมนัสต่อไป
อายตนะ ประกอบด้วย อายตนะภายใน 6 และอายตนะภายนอก 6


 อ้างอิง
http://www.sainampeung.ac.th/chalengsak/units/unit1/chapter%205/teachings/khan5.htm

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ที่มาของจริยธรรม

โดยทั่วไปหลักจริยธรรมจะมีที่มาจากหลักศีลธรรมของศาสนาต่าง ๆ รวมทั้งเกิดจากแนวทาง การปฏิบัติที่ดีงามของสังคมต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรได้มีการศึกษาจริยธรรมที่มีที่มาจากศาสนา ต่าง ๆ ได้แก่
1.จริยธรรมยูดาย
ในลัทธิยูดาย จริยธรรมกับศาสนามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แยกกันไม่ออก โดยเชื่อว่า พระเป็นเจ้ามีองค์เดียว พระองค์ทรงสร้างโลกและมนุษย์ด้วยฉายาของพระองค์ ทั้งเป็นผู้ตั้งศีลธรรมขึ้น ให้มนุษย์ปฏิบัติตามทุกหนทุกแห่ง ระเบียบแบบแผน และข้อบังคับต่าง ๆ บ่งถึงหน้าที่ของบุคคลจะ ต้องปฏิบัติต่อกันอย่างไรบ้าง ตลอดจนหน้าที่ของบุคคลที่มีพระเป็นเจ้า ตราบใดที่จริยธรรมและ ศาสนาอาจจะพัฒนามาจากรากฐานแตกต่างโดยอาศัยธรรมชาติของมนุษย์ ทั้งจริยธรรมและศาสนา ยังเป็นจุดศูนย์กลางที่มนุษย์จะต้องคิดหาสิ่งสมบูรณ์อยู่เสมอ และสันนิษฐานเอาว่า มนุษย์ไม่สามารถ มีชีวิตอยู่ได้โดยโดดเดี่ยวได้เลย ลัทธิยูดายจึงต้องเกี่ยวพันอยู่กับจริยธรรมและศาสนา อันเป็นลักษณะ แยกกันไม่ออกในฐานะชีวิตยังมีจิตใจอยู่
เป็นความพยายามอย่างแรงกล้าของลัทธิยูดาย เช่นเดียวกับศาสนาที่เจริญทั้งหลายในความ พยายามวางรูปลักษณะของมนุษย์ โดยพยายามยกมนุษย์ให้มีฐานะและภาวะเหนือสัตว์ และสร้าง ความพอใจให้มีความต้องการทางกายภาพสูงขึ้น กับทั้งประสิทธิประสาทให้มนุษย์มีคุณค่าและ ศีลธรรมในฐานะที่มีวิญญาณเช่นกัน ปลุกเด็ก ๆ ที่ยังอ่อนต่อโลกให้มีความรู้แจ้งในมรดกที่พระเป็น เจ้ามีอยู่
ในลัทธิยูดาย มีการย้ำในเรื่องคุณค่าความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ และย้ำในเรื่องเสรีภาพของ มนุษย์ในฐานะเป็นตัวแทนทางศีลธรรม บุคคลแต่ละคนจะมีความสามารถประจำตัวเพื่อจะได้แยก ว่าอะไรเป็นความถูกหรือความผิด มนุษย์ได้ก่อร่างขึ้นมาในฉายาของพระเป็นเจ้า พระองค์จึงสถิต อยู่ในกายของมนุษย์ ชีวิตที่ดีจึงควรยอมรับปลูกฝังและปลูกฝังความดีงามให้มั่นคง ไม่ควรปฏิเสธ หรือดูถูกพระเป็นเจ้า จะเป็นร่างกาย วิญญาณ หรือจิตก็เป็นภาระของพระเป็นเจ้าสร้างขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องเหลวไหล มนุษย์ไม่ควรหมกมุ่นในกิเลสกาม และการทรมานตนเกินไป พลังอำนาจและความต้องการเกินควรนี้เองเป็นทางไปสู่ความดีหรือความชั่วก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า เขามุ่งไปในทางใด ตราบใดที่องค์ศาสดามุ่งหวังให้เป็นไปตามที่พระเป็นเจ้าต้องการ จึงเป็นอันแน่ใจว่า มนุษย์จะได้รับผลตามที่เขามุ่งหวังและไม่มีการบังคับใด ๆ
ศูนย์กลางจริยธรรมของลัทธิยูดาย คือ คุณธรรม เช่น ความถูกต้อง หรือความยุติธรรม และ ความรัก หรือความมีเมตตา เมื่อมีคำถามว่า อะไรที่ทำให้พระเป็นเจ้ารักท่าน ? องค์ศาสดาจะตอบว่า ทำอะไรด้วยความยุติธรรม และรักความเมตตากรุณา และนอบน้อมถ่อมตนต่อพระเป็นเจ้าของตนความยุติธรรมที่ถือว่าเป็นคุณธรรมที่ยกมากล่าวอันดับแรก เพราะว่าความรักไม่ควรเพิกเฉยต่อ ความยุติธรรม
ลักษณะจริยธรรมของลัทธิยูดายข้ออื่น ๆ คือ เน้นการช่วยเหลือชุมชนและเอาใจใส่ต่อสังคม เพราะว่าชีวิตของแต่ละคนจะหลีกพ้นชีวิตสังคม หรือชุมชนไม่ได้ การรู้จักรับผิดชอบสังคม คือ การรับ ผิดชอบต่อตนเอง เจตจำนงของพระเป็นเจ้าจะปรากฎผลแก่ทุกคน เกิดประโยชน์แก่บ้านเมือง ครอบครัว และชุมชนอย่างกว้างขวาง ในพันธสัญญาเก่า (The Old Testament) และวรรณคดี ในลัทธิยูดายอื่น ๆ ได้กล่าวถึงคุณธรรม ของบุคคลและสังคมดังกล่าวคือ ความยุติธรรม ความรัก ความสัตย์ ความจริง ความมีปัญญา ความเอื้ออารี ความสันติสุข ความพยายาม และความมีไมตรี ซึ่งกันและกัน
บัญญัติ 10 ประการที่เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสสที่เขาซีนาย (Sinai) มีดังนี้
(1) เราเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของท่าน ผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียอปต์ที่ถูกกักขังอยู่ จะมีพระเจ้าอื่นนอกจากเราไม่ได้
(2) จะต้องไม่ทำรูปเคารพใด ๆ หรือรูปอื่นใดเลียนแบบสิ่งที่อยู่ในสวรรค์หรือบาดาล
(3) จะไม่ออกนามพระเจ้าโดยปราศจากความเคารพ
(4) จงจดจำวันสะบาโต (Sabbath) รักษาวันนี้ไว้ให้สมบูรณ์
(5) จงให้เกียรติบิดาและมารดา
(6) ไม่ล่วงละเมิดประเวณี
(7) ไม่ฆ่าผู้อื่น
(8) ไม่ลักขโมย
(9) ไม่เป็นพยานเท็จ
(10) ไม่ละโมบ (ประภาศรี สีหอำไพ, 2540: 184)

2.จริยธรรมคริสเตียน
พระเยซูได้ทรงนำมรดกทางจริยธรรมซึ่งสืบทอดมาจากลัทธิยูดายมาเผยแพร่ และดัดแปลง ใหม่ให้เห็นความสำคัญยิ่งขึ้น
ในอารยธรรมตะวันตก ศาสนาคริสเตียนได้ก่อให้เกิดอุดมคติทางศีลธรรมขึ้น และมีอิทธิพล ยิ่งในการพัฒนาหลักเกณฑ์ทางศีลธรรม จริยธรรมและชีวิตในอนาคตจะต้องผู้กพันอยู่กับศาสนา คริสเตียนเป็นพิเศษ อย่างไรก็ดี วิถีชีวิตแบบนี้จะไม่เกี่ยวข้องเฉพาะอารยธรรมตะวันตกเท่านั้น แต่จะมีทั่วไปในวิถีทางดำเนินชีวิตของชาวบ้าน และส่วนมากในสังคมตะวันตกจะเป็นไปอย่างเดียวกัน หรือแม้แต่ผู้เป็นปฏิปักษ์กับอุดมการณ์คริสเตียนก็จะไม่มีต่อไป
เมื่อศึกษาประวัติศาสนจักร คริสเตียน จะทราบได้ว่าจริยธรรมคริสเตียนต่างกันในแต่ละ ยุคสมัย และแต่ละกลุ่มแตกต่างกันออกไป แต่คำสอนที่ดีแม้จะประสบกับระบบต่าง ๆ ที่พระเยซู ทรงสอนก็ได้บันทึกลงในพันธสัญญาใหม่ (The New Testament) แล้วด้วยดี เซนต์ปอล ผู้เผยแพร่ ศาสนาคริสเตียนองค์หนึ่ง ก็ได้แสดงบทบาทสำคัญในการพัฒนาความคิดคริสเตียนและหลักปฏิบัติ อย่างกว้างขวาง สารของท่านส่วนมากจะเกี่ยวกับจริยธรรม เช่น ความดี ความชั่ว และบ่อเกิด กฎเกณฑ์ต่าง ๆ แม้พวกไม่นับถือศาสนาก็บังมีกฎข้อบังคับในใจ และทำสิ่งใดต้องอาศัยกฎทั้งสิ้น
ค่านิยมที่ควรถ่ายทอด
1.ค่านิยมส่วนบุคคล ได้แก่ ความสะอาด ความขยัน การตรงต่อเวลา ความซื่อตรง ความอดทนเอาชนะต่อความยากลำบาก ความเชื่อมั่นในตนเอง ความทะเยอทะยาน ความหวัง ศักดิ์ศรีของการทำงาน
2.ค่านิยมที่ควรมีต่อผู้อื่น ได้แก่ การรู้จักหน้าที่ การมีขันติ การมีมารยาท การมีน้ำใจนักกีฬา การมีใจกว้าง ความจงรักภักดี ความกตัญญูกตเวที การยอมผ่อนปรน ความมั่นคงแน่วแน่ ความ เคารพในสิทธิของผู้อื่น
3.ค่านิยมต่อหมู่คณะ ได้แก่ ความรัก การให้อภัย การแบ่งปัน โอบอ้อมอารี ความเห้นใจ ต่อผู้อื่น การให้บริการ การทำงานร่วมกัน ความรับผิดชอบ ความยุติธรรม การยอมรับความผิด ความเคารพในสิทธิมนุษยชน
เอกภาพในจริยธรรม คือ ความรักต่อผู้อื่นแม้เป็นศัตรู คำสอนของพระเยซูเป็นอุปมา อุปไมยด้วยสำนวนกวีมีจินตนาการ เต็มไปด้วยพลังอำนาจดึงดูดใจคน ดังเช่น
ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ต้องหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาลเพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่าน ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย
ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร
จงให้แก่ทุกคนที่ขอ อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอทานจากท่าน
ถ้ามือหรือตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด ก็จงตัดทิ้งและควักเสีย
อย่าเชิญเหล่ามิตรสหายหรือพี่น้อง...จงเชิญคนคน คนพิการ คนตาบอด
พระเยซูใช้วิธีสอนแบบพูดขยายความเกินจริงก็มุ่งหวังเพื่อให้แจ่มแจ้งถึงการเรียกร้องอย่างลึกซึ้ง เพื่อประพฤติตามถึงขั้นบริบูรณ์ หลักจริยธรรมจึงเร้าให้มีความเมตตากรุณา
เนื้อหาสาระจริยธรรมในคริสต์ศาสนา
การละทิ้งความชั่วเพื่อกำหนดทิศทางตามมาตรฐานศีลธรรมใรความหมายของคริสต์ศาสนา มีเนื้อหาสาระดังต่อไปนี้
1.การเน้นในเรื่องคุณธรรม ได้แก่ ความรัก ความเชื่อ ความบริสุทธิ์ ความสุขุมมีสติ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เมตตา ความอดทนต่อความทุกข์ทรมาน และการให้ อภัยกัน
2.จริยธรรมในความสัมพันธ์ทางสังคม ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ระหว่างสามีภรรยา นายกับคนรับใช้ เพื่อนบ้าน และเพื่อนมนุษย์ต่างศาสนา ความรอบคอบ ไม่ยั่วยุท้าทาย การแสวงหา ความสงบ ความเมตตากรุณาแม้มิใช่ในหมู่มิตร
3.ความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นประชากรของสังคม มีความเคารพเชื่อฟังต่อผู้มีหน้าที่รักษา กฎหมาย ความซื่อสัตย์ต่อศีลธรรมของพระเป็นเจ้า ความอดทนต่อการเบียดเบียนด้วยความแข็งแกร่ง อดทน มีความระวังสำนึกในหน้าที่ที่เป็นความรับผิดชอบของตน
แหล่งที่มาของจริยธรรม
ต้นกำเนิดที่เป็นแหล่งที่มาของจริยธรรม มีด้วยกันหลายทาง มีผู้กล่าวถึงแหล่งที่มาอัน
เป็นบ่อเกิดของจริยธรรม ดังนี้ (อมรา เล็กเริงพันธุ์ : 2542, 13 - 14)
1. ปรัชญา วิชาปรัชญาเป็นผลที่เกิดจากการใช้สติปัญญาของผู้ที่เป็นนักปราชญ์หรือนัก
ปรัชญา จนเกิดเป็นหลักแห่งความรู้และความจริงที่พิสูจน์ได้สาระโดยทั่วไปของปรัชญามักจะ
กล่าวถึงลักษณะของชีวิต และธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ที่พึงปรารถนา หลักการและเหตุผล
ของปรัชญามักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความดี ความถูกต้อง ความเหมาะสม ซึ่งสามารถยึดถือเป็นแนว
ปฏิบัติในการดำเนินชีวิตได้
2. ศาสนา เป็นคำสอนที่เป็นหลักประพฤติปฏิบัติหรือแนวทางในการดำเนินชีวิตของ
บุคคล ตามแต่ศาสนาของเจ้าลัทธิหรือศาสนาจะเป็นผู้กำหนดหรือวางแนวทาง คำสอนของแต่
ละศาสนาถึงแม้จะแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม แต่ทุกศาสนาก็มี
หลักคำสอนและวิถีทางที่คล้ายคลึงกัน คือมุ่งเน้นที่จะให้เกิดความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันใน
สังคมและเกิดสันติสุขแก่ชาวโลก ดังนั้นศาสนาจึงเป็นตัวกำหนดศีลธรรม จรรยา เพื่อให้คนใน
สังคมได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้บังเกิดผล และบรรลุจุดมุ่งหมาย
3. วรรณคดี วรรณคดีของทุกชาติทุกภาษาย่อมมีแนวคิด และคำสอนที่เป็นเอกลักษณ์
ของตนเอง ชาติที่มีความเจริญทางวัฒนธรรม ย่อมมีแนวคิดและคำสอนที่เป็นแนวทางสำหรับ
ประพฤติปฏิบัติโดยถูกเก็บรักษาและเผยแพร่ในรูปของวรรณคดีฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า
วรรณคดีนับเป็นแหล่งกำเนิดหรือรวบรวมแนวคิดทางจริยธรรมได้อีกทางหนึ่ง แนวคิดหรือคำ
สอนในวรรณคดีไทยที่นำมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่าง เช่น สุภาษิต พระ
ร่วง โคลงโลกนิติ สุภาษิตสอนหญิง เป็นต้น
4. สังคม การที่มนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคมได้ก็เนื่องมาจากมีข้อกำหนดที่เป็นที่ยอมรับ
และยึดถือเป็นแนวปฏิบัติร่วมกันเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และถือปฏิบัติสืบทอดกันมา
ยาวนาน อันได้แก่ จารีต ประเพณี ขนบธรรมเนียมต่างๆ ข้อกำหนดทางสังคมเหล่านี้จึงเป็นที่มา
และเป็นตัวกำหนดมาตรฐานและคุณค่าทางจริยธรรมของแต่ละสังคม
5. การเมืองการปกครอง หลักในการปกครองที่นำมาใช้ในแต่ละสังคม โดยทั่วไปมัก
เกิดจากการผสมผสานกันของหลักการต่างๆ ทั้งที่เป็นหลักศาสนา และหลักปรัชญา จารีต
ประเพณี แล้วพัฒนาขึ้นเป็นกฏข้อบังคับของสังคม ตลอดจนตราเป็นกฏหมายต่างๆ ทั้งนี้ก็เพื่อ
ต้องการให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม
สรุป
จริยธรรมเป็นหลักหรือแนวทางของความประพฤติของมนุษย์ในสังคม ช่วยทำให้สังคมอยู่
รวมกันอย่างสงบสุข เป็นสิ่งจำเป็นทั้งคุณค่าและประโยชน์อย่างมากมายแก่บุคคลทั้งในระดับ
ครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศชาติจริยธรรมประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบที่
สำคัญคือ ระเบียบวินัย สังคม และอิสระเสรี การแบ่งประเภทของจริยธรรมแบ่งได้แบบกว้างๆ
เป็น 2 ประเภท คือ จริยธรรมภายนอก และ จริยธรรมภายใน จริยธรรมมีแหล่งที่มาจากต้น
กำเนิดหลายสาขาด้วยกัน คือ ด้านปรัชญา ศาสนา วรรณคดี สังคม การเมืองการปกครองและ
จากรากฐานที่กล่าวมาจึงค่อยๆ พัฒนามาเป็นจริยธรรม
อ้างอิง
http://ubon.nfe.go.th/w00/pvch/jariyatum/lesson2.pdf
 

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คุณลักษณะของผู้ที่มีจริยธรรม


คุณลักษณะของผู้มีจริยธรรม

กุศลกรรมบถ 10
จริยธรรม
1.ไม่ฆ่าสัตว์
1.มีความเมตตา
2.ไม่ลักทรัพย์
2.มีความซื่อสัตย์ สุจริต
3.ไม่ละเมิดทางเพศ
3.มีความเครพนับถือต่อผู้อื่น
4.พูดความจริง
4.ไม่พูดโกหก
5.พูดจาไพเราะ
4.พูดไพเราะ อ่อนหวาน
6.พูดให้เกิดสามัคคี
6.พูดแต่สิ่งดีน่าเชื่อถือ
7.พูดแต่สิ่งดี มีประโยชน์
7.พูดแต่เรื่องที่มีสาระและได้ประโยชน์
8.ไม่คิดโลภ
8.รู้จักพอประมาณ
9.ไม่คิดจองเวรต่อผู้อื่น
9.มีความกรุณา
10.คิดแต่สิ่งดี
10.กล้าทำในสิ่งที่ดี

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ข้อดีหรือประโยชน์ของจริยธรรม

ประโยชน์ของจริยธรรม สามารถแบ่งประโยชน์ของจริยธรรมที่มีต่อสังคมเป็น 7 ด้าน ดังนี้
1. เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ปฏิบัติเอง
2. เป็นประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม
3. เป็นการรักษาจริยธรรม
4. จริยธรรมช่วยควบคุมมาตรฐาน
5. พัฒนาบ้านเมืองและประเทศชาติ
6. จริยธรรมทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิ์ตามกฎหมาย
7. จริยธรรมช่วยเน้นให้เห็นภาพพจน์ที่ดีของผู้มีจริยธรรม
ประโยชน์ของการมีจริยธรรม
3.1 ประโยชน์ต่อตนเอง
3.2 ประโยชน์ต่อสังคม
3.3 ประโยชน์ต่อประเทศชาติ
3.4 ประโยชน์ต่อองค์การธุรกิจ
4. ประเภทของจริยธรรม
ประโยชน์ของจริยธรรมทางธุรกิจอย่างมีจริยธรรม
จริยธรรมขององค์กรธุรกิจ ช่วยให้ทุกคนในองค์กรรู้ว่า มาตรฐานทางจริยธรรมมีอย่างไร จะปฏิบัติต่อผู้เกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้เสียในลักษณะใด ซึ่งหมายรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานต่อพนักงานด้วยกัน พนักงานกับฝ่ายบริหารหรือฝ่ายจัดการ พนักงานกับลูกค้าหรือคู่ค้า ตลอดจนแนวปฏิบัติขององค์กรต่อผู้ถือหุ้น ต่อชุมชนและสังคม จริยธรรมขององค์กรธุรกิจจึงมีคุณค่าต่อองค์กรหรือผู้เกี่ยวข้องหรือประชาคมโดยรวม ซึ่งประโยชน์ต่าง ๆ ที่มองเห็นได้ชัดเจน คือ
1. เสริมสร้างชื่อเสียงต่อองค์กรธุรกิจในการประกอบการ ที่มีความยุติธรรมและความรับผิดชอบ
2. ช่วยเสริมสร้างและรักษามาตรฐานความประพฤติของผู้เกี่ยวข้องทุกคนในองค์กร
3. ช่วยให้พนักงานทุกฝ่ายทั่งทั้งองค์กรทราบและเข้าใจอย่างชัดเจนว่า องค์กรตั้งใจจะทำอะไร อย่างไร และองค์กรคาดหวังการประพฤติของพนักงานใดมาตรฐานใด
4. สร้างความภาคภูมิใจระหว่างพนักงานและช่วยให้จุดเน้นในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อองค์กรมีน้ำหนักและชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ประโยชน์ต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นภาพที่อำนวยประโยชน์ต่อการบริหารและการจัดการในการเสริมสร้าง จริยธรรมในการดำเนินธุรกิจขององค์กร หากจะมองถึงประโยชน์ที่องค์กรธุรกิจได้รับโดยตรงในการบริหารธุรกิจอย่างมี จริยธรรมซึ่ง Ethics Resource Center ได้ทำการสำรวจวิจัยพบว่า องค์กรธุรกิจได้รับประโยชน์โดยตรงดังนี้
1. ได้รับการปกป้องทางกฎหมาย (78%)
2. เพิ่มความภาคภูมิใจของพนักงานและความจงรักภักดีต่อองค์กร (74%)
3. เพิ่มค่านิยมของลูกค้าและสาธารณชน (ภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัท) (66%)
4. ป้องกันการสูญเสียด้านผลผลิต และได้รับผลดีขึ้น (64%)
5. ลดการให้สินบนและการให้เปล่า (58%)
6. ปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ / บริการให้ดีขึ้น (14%)
7. การเพิ่มผลผลิตดีขึ้น (12%)
สรุป
จริยธรรมคือหลักความประพฤติ แนวทาง แบบแผน หรือหลักการที่ว่าด้วยความดีงามซึ่งมีพื้นฐานมาจากหลักการของศาสนา ยึดประโยชน์ส่วนรวมหรือหลักของการพัฒนาประเทศ เพื่อความสามารถในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข การปลูกฝังจริยธรรมเปรียบเสมือนการพัฒนาคุณภาพจิตที่มีอิทธิพลต่อความ ประพฤติของมนุษย์ในสังคม
อ้างอิง
http://uhost.rmutp.ac.th/kanlayanee.so/L3/3-3-3.htm
http://reg.ksu.ac.th/business/Wage%20and%20Salary%201.html

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จริยธรรม

จริยธรรม คำว่า "จริยธรรม" แยกออกเป็น จริย + ธรรม ซึ่งคำว่า จริย หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ ส่วนคำว่า ธรรม มีความหมายหลายประการ เช่น คุณความดี, หลักคำสอนของศาสนา, หลักปฏิบัติ เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันเป็น "จริยธรรม" จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า "หลักแห่งความประพฤติ" หรือ "แนวทางของการประพฤติ" จริยธรรม เป็นสิ่งที่ควรประพฤติ มีที่มาจากบทบัญญัติหรือคำสั่งสอนของศาสนา หรือใครก็ได้ที่เป็นผู้มีจริยธรรม และได้รับความเคารพนับถือมาแล้ว ลักษณะของผู้มีจริยธรรม ผู้มีจริยธรรมจะเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะดังนี้
๑. เป็นผู้ที่มีความเพียรความพยายามประกอบความดี ละอายต่อการปฏิบัติชั่ว ๒. เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม และมีเมตตากรุณา ๓. เป็นผู้มีสติปัญญา รู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่ประมาท ๔. เป็นผู้ใฝ่หาความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพ เพื่อความมั่นคง ๕. เป็นผู้ที่รัฐสามารถอาศัยเป็นแกนหรือฐานให้กับสังคม สำหรับการพัฒนาใด ๆ ได้ จากความหมายดังกล่าวหากมีการจัดระดับจริยธรรม สาโรช บัวศรี ได้ให้ความเห็นว่า จริยธรรมมีหลายระดับ ซึ่งสามารถจำแนกตามระดับกว้าง ๆ ได้ ๒ ระดับ ได้แก่ ระดับของผู้ครองเรือน คือ โลกีย์ธรรม กับ ระดับของผู้ที่สละบ้านเรือนแล้ว คือ โลกุตตรธรรม ในความหมายที่เฉพาะเจาะจงนั้น ศาสตราจารย์ ดร. สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ เห็นว่า จริยธรรม หมายถึง ความถูกต้องดีงาม สังคมทุกสังคมจะกำหนดกฎเกณฑ์กติกา บรรทัดฐานของตนเองว่า อะไรเป็นสิ่งที่ดีงาม และอะไรคือความถูกต้อง โดยทั่วไปมิได้มีการเขียนเป็นกฎข้อบังคับให้สมาชิกทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติ ตาม ซึ่งหากมีการละเมิดจะถูกลงโทษโดยสังคมในขณะเดียวกัน ส่วนศาสตราจารย์เกียรติคุณแสง จันทร์งาม เห็นว่า จริยธรรมกับค่านิยมมีความหมายแตกต่างกันเฉพาะในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติยากที่จะชี้ให้เห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือ • จริยธรรม หมายถึง คุณสมบัติทางความประพฤติ ที่สังคมมุ่งหวังให้คนในสังคมนั้นประพฤติ มีความถูกต้องในความประพฤติ มีเสรีภาพภายในขอบเขตของมโนธรรม (Conscience) เป็นหน้าที่ที่สมาชิกในสังคมพึงประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคม ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นในสังคม การที่จะปฏิบัติให้เป็นไปเช่นนั้นได้ ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด • จริยธรรมเป็นความประพฤติ การกระทำและความคิดที่ถูกต้องดีงาม รวมถึงการทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เว้นในสิ่งที่ควรละเว้น ประกอบการและดำรงชีวิตอย่างฉลาด ด้วยสติและปัญญา รู้เหตุรู้ผลรู้กาลเทศะ กระทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เสียสละอุทิศตน มุ่งมั่นและบากบั่น
ความ สำคัญของจริยธรรม
ความสำคัญของจริยธรรม จริยธรรม จึงเป็น…เครื่องมือยุทธศาสตร์ของชาติ และ สังคมเครื่องชี้วัดความเจริญความเสื่อมของสังคมหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาที่เหนือกว่าความเจริญทางวัตถุรากฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ สุข การยอมรับนับถือซึ่งกันและกันของทุกคนและทุกกลุ่มในสังคมรากฐานของความเข้ม แข็งของชาติ กองทัพ และกลุ่มอาชีพเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นอำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน และเป็นตัวคูณอำนาจกำลังรบ จึงเป็นเครื่องมือยุทธศาสตร์ของชาติ และ สังคมเครื่องชี้วัดความเจริญความเสื่อมของสังคมจริยธรรมเป็นเรื่องที่จำเป็น ยิ่งสำหรับทุกคน ทุกหมู่เหล่าและทุกอาชีพ สังคมจะอยู่รอดและเป็นสุขได้ ก็ด้วยจริยธรรม
อ้างอิง
http://kmblog.rmutp.ac.th/chantana.p/?p=62
http://www.baanjomyut.com/library/ethics/01.html
http://jariyatam.com/th/ethics-01/328-2009-07-17-07-24-38